ว่าด้วยการเดินทางในสิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีประชากรกว่า 5 ล้านคน และด้วยขนาดพื้นที่ที่เล็กกว่ากรุงเทพฯประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่มีความหนาแน่นสูงมากติดอันดับต้นๆของโลก
แต่การเดินทางในสิงคโปร์กลับสะดวกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ รถไม่ติด การเดินทางไปสถานที่ต่างๆก็ลื่นไหล ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ในขณะที่กรุงเทพฯขึ้นอันดับต้นๆในเรื่องของการจราจรที่ติดขัด คนต้องเสียเวลากับการเดินทางวันละหลายชั่วโมง
สิงคโปร์ทำได้ยังไง อะไรที่ทำให้สิงคโปร์เหนือกว่า โพสต์จะมาลองวิเคราะห์เรื่อง Transportation of Singapore กันดูครับ
เราอ้างอิงจากประสบการณ์และการสังเกต จากที่เราไปเที่ยวสิงคโปร์มา 4 วัน รวมกับการหาข้อมูลอีกนิดหน่อย ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันน
“Walk-able city”
ขอเริ่มกับวิธีการเดินทางที่ Basic สุดอย่างการ ”เดิน” ก่อน ต้องบอกว่าเมืองนี้ถูกออกแบบมาสำหรับคนเดินเท้าจริงๆ
สิ่งที่สังเกตได้ชัดๆเลยคือทางเท้าที่กว้างและสะอาดมาก ไม่มีสิ่งกีดขวางบนทางเท้าเหมือนกรุงเทพฯ หรือถ้ามีอุปสรรค เช่นการก่อสร้างใดๆ ก็จะมีการทำทางเท้าพิเศษขึ้นมาให้เดินได้ง่ายๆ ทำให้การเดินมัน flow สุดๆ
ทางม้าลายก็เป็นเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้ เมื่อไฟคนข้ามเป็นสีเขียว ยังไงรถก็ต้องหยุดให้เสมอ เรียกได้ว่าเราสามารถเดินก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ตอนข้ามถนนได้เลย
ว่าด้วยการข้ามถนน สิ่งที่เจออีกอย่างคือสิงคโปร์ไม่มีสะพานลอยเลย (ซึ่งสะพานลอยเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเตะคนออกไปจากถนน แล้วให้รถวิ่งได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้คนข้ามได้ง่ายขึ้น) การไม่มีสะพานลอยเป็นสิ่งที่ย้ำว่าถนนมีไว้ให้คนเดินได้ใช้อย่างเต็มที่จริงๆ
“Last mile cycling”
อีกวิธีการเดินทางที่เจอได้เยอะในสิงคโปร์คือ การใช้จักรยาน, scooter, skateboard ที่ไว้สำหรับเคลื่อนเร็วๆในระยะสั้นๆ
เราเลยลองเช่าจักรยานปั่นในสิงคโปร์ดู เป็นการปั่นออกกำลังกายตอนเช้าระยะทางกว่า 11 km เรารู้สึกเลยว่าประสบการณ์โดยรวมมันดีมาก จะบนถนนในเมืองท่ีไหนก็มีเลนจักรยานชัดเจน ดูปลอดภัย ปั่นง่ายมาก
สิงคโปร์ออกแบบถนนให้ friendly กับคนใช้จักรยานมาก ชาวเมืองก็มาใช้กันเยอะ เป็นการเดินทางที่ได้ออกกำลังกายไปในตัว
เมืองที่คนจะใช้จักรยานกันเยอะๆ คือเมืองที่มีการเดินทาง last-mile ไม่ยาวมาก หรือการที่มีระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมจนทำให้ทุกพื้นที่อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถบัสหรือรถไฟ พูดง่ายๆคือ พอลงจากสถานีรถไฟ ก็เดินหรือขี่จักรยานไปจุดหมายได้เลย
แต่สำหรับกรุงเทพฯ last-mile จะใช้เป็นมอเตอร์ไซต์แทน เพราะหลายๆครั้ง จากสถานีรถไฟหรือป้ายรถเมล์ ไปถึงปลายทางก้ไกลมาก แถมไม่มีเลนจักรยานหรือฟุตบาทดีๆด้วย
สิงค์โปร์เป็นเมืองที่ใช้จักรยานกันเยอะ แต่ไม่มีมอเตอร์ไซต์เลย และการทำแบบนี้ได้ เกิดจากการมีทางจักรยานที่ดี และการวางระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมด้วยเช่นกัน
“Reliable Bus”
อีกประสบการณ์ที่เราประทับใจมากๆในการเดินทางในสิงคโปร์คือการนั่งรถบัส เริ่มจากตัวรถก่อน บัสสิงคโปร์เป็นบัสที่ดูดี สะอาด แอร์เย็น กระจกใส นั่งสบายสุดๆ หลายๆสายเป็นรถบัสแบบสองชั้นด้วย ถ้านั่งชั้นบนไปเรื่อยๆรอบเมือง ก็เรียกได้ว่าเป็น sightseeing tour ดีๆเลย
สำหรับระบบการเดินรถ การวางเส้นทาง การจัดสถานี ก็ถือว่าเยี่ยมมากๆ ที่นี่มีรถบัสหลายสาย ป้ายรถมีถี่แบบสุดๆ ทำให้การเดินทางจากจุด A ไป B ใดๆ ถือว่าใช้บัสได้ง่ายๆเลย
เพียงแค่จิ้มว่าจะไปที่ไหนใน google map มันก็จะบอกวิธีการเดินทางโดยบัสให้เลย แถมมีให้เลือกอย่างน้อย 2-3 รูทด้วย และที่เยี่ยมสุดๆคือไม่ว่าจะไปที่ไหน การรอรถบัสไม่เคยนานเกิน 7 นาที รถบัสมาตรงเวลา และพาไปถึงจุดหมายตรงเวลาอีกต่างหาก
การคำนวณเวลาได้เป๊ะๆขนาดนี้ทำให้ระบบรถบัสที่นี่ถือว่า reliable มากๆไม่แพ้ระบบรถไฟเลย และที่มันสามารถทำได้ เพราะการจราจรบนท้องถนนมัน flow ดี ไม่มีรถติดด้วยนั่นเองเวลาอีกต่างหาก
“Accessible MRT”
ระบบรถไฟของสิงคโปร์ถือว่าเป็นที่พูดถึงระดับโลก ในเรื่องการวางผังสถานีและเส้นทางการเดินรถได้ครอบคลุมมาก จนหลายๆเมืองต้องมาศึกษาดูเป็นตัวอย่าง
จากรูป โครงสร้างหลักๆจะมีสายที่วิ่งเหนือ-ใต้ (North-South) อย่างเส้นสีแดงและสีม่วง และเส้นที่วิ่งตะวันออก-ตะวันตก (East-West) อย่างเส้นสีเขียว

มีเส้น Circle line ที่วิ่งเป็นวงแหวนขอบนอกของเมืองอย่างสีส้ม และ Downtown line สีน้ำเงิน ที่ไปวนรอบเมืองชั้นในอีกที

 

ด้วยระบบนี้มันทำให้การเดินทางไปที่ต่างๆครอบคลุมสุดๆ ถ้าจะไปชานเมืองก็มีรถไฟไปถึงได้เลยโดยไม่ต้องใช้รถ ส่วนการเดินทางในเมืองก็ง่ายยิ่งกว่าง่าย มีรถไฟไปถึงแน่นอน

 

“Unnecessary private car”

จากที่เล่าถึงการเดินทางรูปแแบอื่นๆมาทั้งหมดน่าจะทำให้เห็นได้ว่า การใช้รถยนต์แทบจะไม่มีความจำเป็นในสิงคโปร์เลย

 

บนถนนจึงมีรถไม่มาก และแทบไม่มีคำว่ารถติด ทั้งๆที่เมืองนี้มีความหนาแน่นของประชากรมากขนาดนี้ เราก็ได้ลองนั่ง uber ดู (ในราคาที่แพงกว่า public transport มากๆ) ก็พบว่ามันสบายจริงๆ ไม่เจอรถติดเลย

 

เมืองที่รถยนต์ไม่มีความจำเป็นมากเท่าไร การใช้รถเลยกลายเป็นความ luxury ที่ไว้ใช้แค่ในโอกาสพิเศษ หรือตอนที่รีบจริงๆและยอมจ่ายแพงเท่านั้น

 

ที่จริงหลายๆประเทศพัฒนาแล้วก็มักจะมีนโยบายที่ไม่ friendly กับการใช้รถยนต์ อย่างเรื่องราคารถ ภาษี ค่าที่จอดต่างๆ และสนับสนุนให้คนส่วนใหญ่ใช้ขนส่งสาธารณะ แต่การทำแบบนั้นได้ ระบบการเดินทางมันต้องดีก่อน และสิงคโปร์เองก็เป็นประเทศแบบนั้นแหละ

 

“Transportation of Singapore”

โดยสรุปแล้ว สิงคโปร์เป็นประเทศที่จัดการเรื่องการเดินทางของคนเมืองได้ดีมากๆ และมันไม่ได้เกิดเพราะองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นหลายๆอย่าง ที่มันมาเกี่ยวข้องและส่งเสริมกัน

 

ผังเมืองที่ดีทำให้ทุกสถานที่เข้าถึงได้ง่าย ระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมทำให้ใครๆก็ใช้ได้ ทางเท้าที่ดีและเลนจักรยานที่ปลอดภัยทำให้คนเดินและปั่นจักยาน คนในเมืองไม่ใช้รถส่วนตัวทำให้รถไม่ติด การจราจรที่ไหลลื่นทำให้ระบบรถบัสตรงเวลา ทั้งหมดนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของคนเมืองโดยรวมดีขึ้น

และเราก็ได้แต่หวังว่ากรุงเทพฯ เมืองที่มีเสาไฟตั้งอยู่กลางฟุตบาท เมืองที่คนขี่จักยานต้องเสี่ยงตาย เมืองที่การรอรถเมล์ยาวนานชั่วนิรันดร์ เมืองที่สถานี BTS ใกล้บ้านห่างออกไป 10 กิโลเมตร และหนึ่งในเมืองที่รถติดที่สุดในโลกนี้ จะสามารถพัฒนาคุณภาพการเดินทาง ให้เท่าทันอย่างสิงคโปร์ได้ในสักวัน