วิชาการโรงแรม101

โรงแรมมีกี่ประเภท?

โรงแรมเป็นวงการที่กว้างใหญ่และมีความหลากหลายมากๆ ตั้งแต่ที่พักรูหนูง่ายๆ ไปจนถึง ultra luxury หรือสไตล์การตกแต่งแบบมินิมอล ไปจนถึงแมกซิมอลแบบตะโกน เชื่อว่าทุกคนคงมีประสบการณ์พักโรงแรมกันมามากมายแหละ แต่อาจจะไม่เคยรู้ว่าประเภทโรงแรมมันมีแบ่งยังไงบ้าง โพสต์นี้จะพาไปไล่เรียง landscape ของโลกโรงแรมอันกว้างใหญ่ พร้อมขีดเส้นแบ่งและนิยามประเภทต่างๆให้พอเห็นภาพกัน อยากจะเล่าผ่านมุมมองนักท่องเที่ยวอย่างเราๆนะ เผื่ออ่านแล้วจะได้ช่วยเลือกโรงแรมให้ตรงความคาดหวังให้มากขึ้น

Hotel classification นั้นมีหลายมิติมาก และก็ไม่ได้มีการแบ่งที่ถูกต้องเพียงแบบเดียว อย่างเครือ Marriott กับเครือ Hilton ก็ยังแบ่ง tier ไม่เหมือนกันเลยโพสต์นี้ขออ้างอิงข้อมูลจากหลายๆที่แล้วเอามาสรุปอีกนิดหน่อยเพื่อให้เข้าใจง่ายและมีประโยชน์สำหรับคนเลือกจองโรงแรมอย่างเราๆ

เราแบ่งมาได้ 5 มิติตามนี้

1. Hotel Size : อันนี้ง่ายสุดคือดูตามจำนวนห้องเลย จะแบ่งตั้งแต่ small, medium, large ถ้าเป็นโรงแรมเล็กๆก็จะได้ฟีลส่วนตัว สงบหน่อย ส่วนโรงแรมใหญ่ก็อาจจะพลุกพล่าน ต้องแย่งใช้ส่วนกลางกัน แต่ก็มักจะมาพร้อมกับ operation และ facility ที่เพียบพร้อมประมาณหนึ่ง
2. Star rating : น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคย ดาวนี้เป็นเหมือนเรทติ้งที่ให้โดย third party นะ ซึ่งเขาก็จะมีมาตรฐานค่อนข้างชัดเจนเลย เหมือนระบบมิชลินสตาร์ ดาวของโรงแรมแบ่งได้ตั้งแต่ 1-5 ดาว คิดจากหลายๆปัจจัยเช่น ความหรู โลเคชั่น การบริการ แต่ก็จะมีบางที่ที่ exceptional มากๆ อาจได้ 6-7 ดาวได้ เพราะแค่ 5 มันไม่พอจริงๆ
3. Service level : อันนี้คือระดับของการบริการที่โรงแรมเป็นคนกำหนดมาตรฐานเอง เพื่อ segmentaion ลูกค้าและวาง positioning ในตลาดให้ต่างกัน ตัวอย่างเครือโรงแรมใหญ่ๆอย่าง Hilton ก็จะมีแบ่ง midscale, upper midscale, upscale, upper upscale, luxury หรืออย่าง IHG ก็จะมี Mainstream, Upscale, Luxury ใดๆคือแปลง่ายๆว่า มีโรงแรมง่ายๆราคาประหยัด ไปจนถึงแบบเว่อวังลัคชูรี่ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ควรพอรู้ว่า Hotel brand แต่ละอันนั้นอยู่ระดับไหน จะได้เลือกเทียบราคากับความคาดหวังได้ถูก
4. Ownership : ข้อนี้ขอแบ่งแค่ 2 แบบคือ independent กับ franchise แบบ independent คือเป็นเจ้าของโรงแรมเอง สร้างเอง ดูแลเอง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงแรมเล็กที่มีไม่กี่ห้อง และอาจจะ classify เรื่องดาวหรือ service level ไม่ได้ แต่โรงแรมแบบนี้ก็อาจจะเป็น Boutique hotel ที่ปังมากๆเลยก็ได้นะ ในไทยมีเยอะมากเลย เช่น เชียงใหม่ น่าน เกาะล้าน โรงแรม independent ดีๆสวยๆเพียบ ส่วนแบบ Franchise ก็คือพวกโรงแรมแบรนด์นี่แหละ (เดี๋ยวนี้โรงแรม chain เป็นระบบ franchise เกือบหมดแล้ว) ซึ่งสิ่งที่เราคาดหวังได้ก็คือมาตรฐานการบริการที่ต้องเนี๊ยบตาม Brand guideline
5. Purpose : คือแบ่งตามธีมของโรงแรมที่จะมีจุดประสงค์ชัดเจน จับ target ที่ Niche ไปเลย เช่น Golf, Wellness, Casino, Business, Airport, Motel และอื่นๆอีกมากมายโรงแรมที่เข้าข่ายนี้ก็จะเห็นกันชัดๆเลยว่าเขาอยากได้ลูกค้ากลุ่มไหน ถ้าเราตรง target ของเขา การเลือกโรงแรมโดยตั้งต้นจาก purpose อันนี้ก็ดีเหมือนกัน

ก็ประมาณนี้กับวิชาการโรงแรม 101 หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับการเลือกจองโรงแรมครั้งถัดไปนะครับ